นานาสาระประชากร

บำรุงบิดามารดา นี้เป็นมงคลอันอุดม

ปราโมทย์ ประสาทกุล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

21 เมษายน 2556

          อากาศทุกวันนี้แปรปรวนจนยากที่จะจับทางได้ถูก เมื่อ 20-30 ปีก่อน เราพูดกันว่า เมษายนเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของ
ประเทศไทย อากาศจะแห้งแล้งมาก เกือบไม่มีทางที่ฝนจะตกเลยในช่วงเดือนนี้

          แต่เมษายนปีนี้ ต้องบอกว่าอากาศผันแปรไปอย่างเหลือเชื่อ อุณหภูมิสูงที่สุดในเดือนเมษายนไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ตอนต้นเดือน บางวัน บางพื้นที่ ปรอทขยายตัวขึ้นไปสูงถึง 42-43 องศาเซลเซียส แต่พอกลางเดือนเมษายนก็เกิดเรื่องแปลก มีฝนมากับพายุ ฝนหนักมากและครอบคลุมพื้นที่ในภาคต่างๆ ของประเทศอย่างกว้างขวาง อาทิตย์ก่อนมีพายุโหมกระหน่ำชายฝั่งทั้งตะวันออก และตะวันตกของอ่าวไทย ทำความเสียหายให้บ้านเรือนและเรือประมงจำนวนมาก

          กระทั่งเช้าวันนี้ ศาลายาก็ยังมีฝนตก แต่ไม่หนักนัก

          ย้อนเวลาไปอีกนิด เดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ถึงมกราคม ควรที่จะเป็นฤดูหนาว แต่ช่วงเวลาดังกล่าวที่เพิ่งผ่านมา อุณหภูมิในประเทศไทยก็ไม่ได้ลดลงให้สมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นเหมันตฤดู เสื้อหนาวผ้าพันคอคงขายไม่ค่อยออก น่าเห็นใจสาวๆ ที่ไม่มีโอกาสแต่งตัวชุดกันหนาวมาอวดกัน

          การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเช่นนี้ คงได้แต่เดาเหตุผลว่าอาจเป็นเพราะ “สภาวะโลกร้อน” (global warming) แล้วก็โยงสาเหตุไปถึงการกระทำของมนุษย์  การตัดไม้ทำลายป่า ไม่รักษาสิ่งแวดล้อม การขยายตัวของอุตสาหกรรมและการปล่อยควันพิษคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ พฤติกรรมของมนุษย์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นจนมากกว่า 7,000 ล้านคนในปัจจุบันถูกกล่าวหาเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น แล้วมีผลส่งต่อทำให้ภูมิอากาศแปรปรวน ไม่มีฤดูร้อน ฤดูหนาวอยู่ในร่องในรอยอย่างทุกวันนี้

          สวัสดีปีมะเส็ง

          วันเวลาช่างโบยบินไปเร็วเหลือเกิน วันนี้เข้าสู่ช่วงปลายเดือนที่ 4 ของปีแล้ว ผ่านกลางเดือนเมษายน วันสงกรานต์ได้เคลื่อนผ่านไป เรากล่าวอำลาปีมะโรง แล้วกล่าวต้อนรับปีมะเส็งงูเล็ก

          ผมเฝ้าติดตามดูการเปลี่ยนแปลงประชากรของประเทศไทย ปีที่แล้วเป็นปีงูใหญ่หรือเรียกว่าเป็นปีพญานาคก็คงได้ ตรงกับปีมังกรของจีน ผมลุ้นว่าในปีมงคลนี้ น่าจะมีเด็กเกิดในประเทศไทยมากกว่าปีอื่นๆ

          กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยได้รายงานว่าในปีมะโรง (พ.ศ. 2555) ที่ผ่านมามีเด็กเกิด 7 แสน 6 หมื่นคน น้อยลงกว่าจำนวนเกือบ 8 แสนคนในปี 2554 เป็นอันว่า
ปีมังกรไม่ได้ทำให้เด็กไทยเกิดมากกว่าปกติแต่อย่างใด ผมลองย้อนไปดู เมื่อปีมังกรรอบก่อน คือเมื่อปี 2543 มีเด็กเกิดเป็นจำนวน 7 แสน 9 หมื่นคน มากกว่าปีเถาะก่อนหน้าคือ
ปี 2542 (7 แสน 7 หมื่น) อยู่ราว 2 หมื่นคน

          เด็กไทยเกิดน้อยลงทุกที ดูแนวโน้มจำนวนเกิดในแต่ละปีก็พอจะเชื่อได้ว่า อีกราว 10 ปีข้างหน้า จะมีเด็กไทยเกิดปีละไม่ถึง 7 แสนคน ไม่เหมือนยุค “เบบี้บูม” ของไทย หรือที่เรียกว่า “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” ที่เกิดในช่วงปี 2506ะ2526 ช่วงนั้นมีเด็กเกิดในประเทศไทยปีละมากกว่าล้านคน บางปียอดจำนวนเกิดขึ้นสูงถึง 1 ล้าน 2 แสนกว่าคน

          ในขณะที่มีเด็กเกิดน้อยลง ประเทศไทยก็มีจำนวนคนตายในแต่ละปีเพิ่มสูงขึ้น ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2555) มีคนตาย 4 แสน
2 หมื่นราย ที่คนไทยตายมากขึ้น ไม่ใช่เพราะสุขภาพคนไทย
แย่ลง หรือเพราะคนไทยมีโรคภัยไข้เจ็บระบาดแพร่หลาย หรือเพราะคนไทยตายด้วยอุบัติเหตุหรือการฆาตกรรมต่างๆ
เพิ่มมากขึ้นนะครับ แต่สาเหตุหลักที่ประเทศไทยมีคนตาย
มากขึ้นเป็นเพราะเรามีคนแก่มากขึ้น เมื่อมีคนแก่มาก ก็ต้องมีคนตายมาก คนเราเมื่อหมดอายุขัยก็ต้องตายไป เมื่อประชากรไทยสูงวัยขึ้น จำนวนคนตายในแต่ละปีจึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นไปอีก ในขณะที่จำนวนเกิดมีแนวโน้มลดลง

          ปีมะโรงที่ผ่านมา ประเทศไทยมีคนเกิดมากกว่าคนตายประมาณ 3 แสน 4 หมื่นคน

          คนรุ่นเกิดล้านมีลูกกันน้อยลง

          ปีมะเส็งนี้ “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” จะมีอายุอยู่ระหว่าง 30-50 ปี กำลังอยู่ในวัยทำงาน-ทำเงินกันอย่างแข็งขัน ประชากรรุ่นที่เกิดปีละเกินกว่าล้านคนนี้ รวมกันแล้วมีจำนวนมากถึง 20 ล้านคน นับเป็น “คลื่นประชากร” ที่ใหญ่มาก ผมอยากจะเปรียบคลื่นประชากรใหญ่นี้ว่าเป็นเหมือน “คลื่นสึนามิ” ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ “ชายฝั่งผู้สูงอายุ” คลื่นสึนามิลูกนี้แหละที่จะทำให้ประชากรไทยสูงวัยอย่างเร็วมาก อีก 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2566) ประเทศไทยเราจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 14 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 21% ของประชากรทั้งหมด 66.3 ล้านคนในขณะนั้น

          ผมมองอนาคตที่ไกลออกไปอีก 20 ปีข้างหน้า ถ้าผมปฏิบัติตัวดี ออกกำลังกายตามสมควร กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสม เช่น ไม่กินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป  กินผักผลไม้มากขึ้น ลดอาหารแป้งลงเสียบ้าง แล้วก็มีจิตใจผ่องใสไม่เคร่งเคียด มองโลกในแง่ดีพอประมาณ อีก 20 ปี ผมคงพอมีทางที่ยังมีลมหายใจอยู่ สมัยนี้เป็นผู้อาวุโสอายุ
80 กว่าปีไม่ใช่เรื่องยาก และถ้าโชคดี ผมยังมีสมองไม่เสื่อมจนหลงลืมจำอะไรไม่ได้ ในตอนนั้น ประชากรไทยจะยังคงมีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 66 ล้านคน แต่จะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึงเกือบ 19 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 28% ของประชากรทั้งหมด  ในขณะที่ประชากรเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีจะมีจำนวนเพียงประมาณ 13 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น

          ผมพอมองเห็นภาพคลื่นสึนามิ “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” ที่ทับโถมเข้าสู่ฝั่งกลายเป็นผู้สูงอายุ คนรุ่นเกิดล้านที่ไม่แต่งงานและยังเป็นโสดมีอยู่เป็นจำนวนมาก คนรุ่นนี้แม้จะแต่งงานแล้ว ก็ยังมีลูกกันน้อย ส่วนใหญ่จะมีลูกกันเพียงคนเดียวหรือสองคน พอแก่ตัวลง โอกาสที่จะต้องอยู่ตามลำพังก็มีมาก และโอกาสที่ผู้สูงอายุรุ่นเกิดล้านจะอยู่กับพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีมากเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น เรายังอาจนึกวาดภาพครอบครัวที่มีคนสามสี่รุ่นอยู่ด้วยกัน ผู้สูงอายุรุ่นเกิดล้านอยู่กับพ่อแม่ของตนที่อายุ 80-90 ปีขึ้นไป อยู่กับรุ่นลูกที่มีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งยังเป็นโสดไม่ยอมแต่งงาน และถ้าโชคดี อาจมีหลานอยู่ด้วยอีกสักคนสองคน

          คนรุ่นเกิดล้านช่วยดูแลพ่อแม่

          ที่จริงแล้ว การที่ประชากรของประเทศไทยมีเด็กเกิดน้อยลง เพราะคนรุ่นหลังๆ อยู่เป็นโสดกันมากขึ้น และคนที่แต่งงานแล้วก็มีลูกกันน้อยลงนั้น ก็มีข้อดีสำหรับสังคมสูงวัยอยู่ไม่น้อย คนรุ่นเกิดล้านที่กำลังอยู่ในวัยทำงานเมื่ออยู่เป็นโสด ยังไม่มีครอบครัวก็สามารถแบ่งปันรายได้มาสงเคราะห์อุปถัมภ์พ่อแม่ของตนได้ และแม้แต่คนที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว เมื่อมีลูกเพียงคนสองคน ก็น่าจะแบ่งปันรายได้มาเกื้อกูลพ่อแม่ของตนได้บ้าง แทนที่จะต้องทุ่มเทรายได้ไปลงทุนเลี้ยงดูลูกจำนวนมากอย่างสมัยก่อน

          พูดถึงสมัยก่อนที่คนไทยยังมีลูกกันมาก ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูก 5ะ6 คนโดยเฉลี่ย ผู้หญิงสมัยก่อนนั้นเมื่อโตเป็นสาวก็จะออกเรือนมีครอบครัวกันเกือบทุกคน เมื่อมีลูกก็ต้องมีภาระเลี้ยงดูลูก การดูแลพ่อแม่เป็นภาระที่แบ่งกันระหว่างพี่น้องท้องเดียวกันที่มีอยู่หลายคน บางครั้งยังได้แรงงานจากลูกๆ ในการดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุด้วย คือ ปู่ย่าตายายได้หลานมาช่วยดูแลยามชรา

          ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของสังคมปัจจุบัน ช่วงที่ผมกำลังจะเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวนี้ ผมได้รับรู้เหตุการณ์ที่น่าชื่นใจหลายอย่าง ผมมีประสบการณ์ตรงที่ได้เห็นคนรุ่นเกิดล้านช่วยเหลือเกื้อกูลพ่อแม่ผู้สูงอายุของตน “คนรุ่นเกิดล้าน” อายุ 30-40 กว่าปี หลายรายที่ผมรู้จัก เมื่อทำงานประสบความสำเร็จมีรายได้ดี ก็นำมาแบ่งปันให้พ่อแม่ ทั้งให้เป็นเงินสด และ/หรือสรรหาสิ่งของเครื่องใช้มาให้

          ผมเห็นมาหลายรายแล้ว ที่เด็กๆ รุ่นเกิดล้าน (ซึ่งที่จริงก็ไม่ใช่เด็ก เพราะอายุ 30-40-50 ปีขึ้นไป แล้วมีการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม ดูแลพ่อแม่ ให้เงินพ่อแม่ใช้เป็นรายเดือนพาพ่อแม่ไปเที่ยวเมื่อมีโอกาส ภาพที่ลูกกระทำดีต่อพ่อแม่เช่นนี้น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

          เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อนผมคนหนึ่งได้รับรถเก๋งป้ายแดง เป็นของขวัญวันเกิดจากลูกสาวอายุ 40 ปี เพื่อนถ่ายรูปของขวัญชิ้นโตและเผยแพร่ให้รู้ทั่วกันผ่านทางเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นสื่อสังคม (social media) ที่ผู้สูงอายุนิยมเล่นกันในปัจจุบัน ผมเข้าไปเขียนชื่นชมโดยยกเอามงคลหนึ่งในมงคล 38 ขึ้นมาแสดง

 

“มาตาปิตุ อุปัฏฐานัง  เอตัมมังคะละมุตตะมัง”
บำรุงบิดามารดา  นี้เป็นมงคลอันอุดม

          เหตุการณ์อันน่าชื่นชมทำนองนี้ น่าจะทำให้เราพอเบาใจได้ว่า สังคมสูงวัยไทยในอนาคต จะยังมีคุณธรรมในหมู่คนรุ่นหลังที่จะช่วยสงเคราะห์เกื้อกูลบิดามารดาผู้สูงอายุตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ที่ได้สงเคราะห์เลี้ยงดูบุตรของตนมาก่อน หากคนรุ่นหลังยังมีค่านิยมในการบำรุงบิดามารดา มีทัศนคติที่ดีต่อผู้สูงอายุ เห็นคุณค่าของผู้อาวุโส  สังคมไทยในอนาคตที่จะมีอายุสูงขึ้นไปอีก ก็ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก

Since 25 December 2012