นานาสาระประชากร
แก่ตามสังขารและสังคม
ปราโมทย์ ประสาทกุล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
จะเรียกว่าเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ หรือของขวัญวันมาฆบูชา ดีล่ะ เมื่อวันดีทั้งสองมาตรงกันในปีนี้แล้วผมก็ได้ของขวัญ
วันนั้นลูกชายได้สั่งเครื่องออกกำลังกายจากห้างส่งมาให้ผมใช้ เขาโทรมาบอกสรรพคุณของเครื่องออกกำลังกายเครื่องนี้
และบอกว่าอยากให้พ่อใช้ ผมปฏิเสธว่าอย่าซื้อมาให้เลย พ่อมีเครื่องปั่นจักรยานอยู่แล้ว และก็ใช้อยู่เป็นประจำทุกวัน
มาเกือบปีจนคุ้นเคยแล้ว
ลูกผมคะยั้นคะยอ ชักชวนให้ผมเห็นข้อดีของเครื่องที่ว่าซึ่งคงตั้งอยู่ข้างหน้าเขาในขณะนั้น คนนั้นก็ใช้ คนนี้ก็ใช้ เครื่องนี้ออกแบบมาให้เหมาะสมกับลักษณะการเดินก้าวเท้าของคน เหมือนเดินอยู่ในอากาศ เดินบนเครื่องนี้แล้วจะไม่ปวดขา
ปวดเข่า เขาทดลองใช้ดูแล้ว เพียงสิบนาทีก็ได้เหงื่อ ... ถ้าลูกเห็นดีเช่นนั้น พ่อก็ตามใจ และขอบใจ (และดีใจ)
ผมเดินรอบประเทศไทยมาแล้ว
ผมเริ่มออกกำลังกายเป็นประจำวันอย่างจริงจังด้วย “อรุณยาตรา (morning walk)” หรือการเดินยามเช้าตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2543 ผมเดินทุกวัน ยกเว้นวันที่ฝนตกและเมื่อมีกิจธุระจำเป็น เดินวันละเกือบๆ ชั่วโมง คิดเป็นระยะทางก็ราววันละ 4 กิโลเมตร ปีๆ หนึ่งผมเดินได้ระยะทางประมาณ 1,500 กิโลเมตร สิบปีก็ได้ระยะทางไกลกว่าหนึ่งหมื่นกิโลเมตร ผมเดินรอบประเทศไทยมาได้สักสองสามรอบแล้ว
ผมได้เปลี่ยนวิธีการออกกำลังกายจากการเดินยามเช้ามาเป็นการปั่นจักรยานอยู่กับที่เมื่อกลางปีที่แล้ว (2556) สาเหตุเนื่องมาจากผมเกิดอาการรองช้ำที่ส้นเท้า คงเป็นเพราะรองเท้าไม่เหมาะ เมื่อเดินไม่สะดวก ผมก็เปลี่ยนรองเท้า ซื้อรองเท้ายี่ห้อดังราคาแพง แต่อาการเจ็บส้นเท้าก็ยังไม่ดีขึ้น ในที่สุด ผมต้องหยุดการออกกำลังกายที่ทำต่อเนื่องมานานถึง 13 ปี จากนั้น ผมก็เปลี่ยนมาออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานอยู่ในบ้าน
จนกระทั่งบัดนี้ ผมยังนึกเสียดายการเดินยามเช้าอยู่ ผมเคยเขียนบันทึกเรื่องการเดินออกกำลังกายไว้โดยใช้ชื่อ “เดินหนีตาย” ผมเขียนในทำนองว่า แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่มีทางหนีตายได้พ้น แต่ถ้าเราเดินทุกวัน เราก็จะหนีห่างจากความตายได้บ้าง ซึ่งเท่ากับชะลอเวลาตายของเราให้ช้าลง ไม่ให้ความตายเข้ามาถึงตัวเราได้ง่ายๆ ที่จริง ต้องบอกว่าเป็นการเดินหนีห่างจากความพิการ โรค และความเจ็บป่วยต่างๆ ด้วย ผมคิดถึงความสุขใจที่ได้จากการเดินยามเช้า คิดถึงอากาศที่สดชื่น เดินไป คิดโน่นคิดนี่ไป ผมได้ความคิดหลายอย่างขณะเดิน....
ผมคิดถึงการเดินยามเช้าเมื่อมีโอกาสไปพักค้างคืนต่างจังหวัด ผมได้เห็นชีวิตผู้คนในท้องถิ่นเหล่านั้น ได้พบกับธรรมชาติ เห็นบ้านเรือนสิ่งก่อสร้างใกล้ชิดอย่างที่ไม่มีทางจะได้เห็นหากนั่งรถผ่านไปโดยไม่ได้เดิน
วิธีใดก็ได้ ขอเพียงให้เพลิน
การเปลี่ยนวิธีออกกำลังกายมาเป็นการปั่นจักรยานอยู่ภายในบ้านก็สะดวกหลายอย่าง ไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง
ก็ไม่เป็นปัญหา ตอนที่ยังเดินยามเช้าอยู่ บางครั้ง ผมแต่งตัว ใส่รองเท้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดินออกนอกประตูบ้าน อ้าว! ฝนตก ต้องกลับเข้าบ้านด้วยความผิดหวัง การออกกำลังกายอยู่ในบ้านสะดวกดี เราไม่ต้องเสียเวลาเตรียมตัวมาก เดี๋ยวนี้ พอตื่นขึ้นมา เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ผมก็ลงมาข้างล่าง เริ่มปั่นจักรยานได้เลย ที่สำคัญ ผมเอาทีวีมาตั้งไว้ดูเวลาปั่นจักรยาน ออกกำลังกายไป ดูรายการทีวีไป เพลิดเพลินดี ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้ผมติดออกกำลังกายหรือติดรายการทีวี หรือติดทั้งสองอย่างผสมกัน ตอนหลังๆ นี้ บางครั้งผมอยากออกไปเดินนอกบ้านอยู่เหมือนกัน อยากกลับไปเดินตามสถานที่ที่เคยเดินมาก่อนเพื่อรำลึกถึงความหลัง โดยเฉพาะที่ในบริเวณพุทธมณฑล และที่สนามกีฬาของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา แต่พอจะออกไป ก็เกิดอาการลังเล กลัวจะพลาดรายการทีวีที่ดูเป็นประจำ นี่เป็นเพราะเราติดทีวีมากกว่าติดจักรยานละกระมัง
ผมตั้งเครื่องออกกำลังกายที่ลูกชายเพิ่งให้มาไว้ใกล้ๆ กับจักรยาน ผมแบ่งเวลาออกกำลังกายออกเป็น 2 ช่วง เดินบนเครื่องที่ได้มาใหม่ 20 นาที แล้วไปปั่นจักรยานอีก 20 นาที ได้ดูทีวีไปด้วยตลอดเวลา ที่จริง การออกกำลังกายของเราไม่ว่าจะใช้วิธีใดหรือเครื่องมือใด จะได้ผลมากน้อยเพียงไร น่าจะขึ้นอยู่กับความตั้งใจของตัวเราเองมากกว่า ถ้าเรามุ่งมั่นตั้งใจจริงแล้ว ไม่ว่าจะเดินยามเช้ายามเย็น ปั่นจักรยานท่องไปตามที่ต่างๆ หรือปั่นอยู่กับที่ แกว่งแขน รำไม้พลอง รำไท้เก๊ก รำมวยจีน หรือด้วยวิธีการอื่นใดก็ตาม ก็จะทำให้เรามีความสุขและบังเกิดผลดีต่อสุขภาพของเรา
ผมคิดว่าพฤติกรรมออกกำลังกายเป็นประจำของผมยั่งยืนอยู่ได้นานนับสิบปีเป็นเพราะผมทำให้วิธีออกกำลังกาย
ไม่น่าเบื่อ ใช้วิธีง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ไม่ต้องเตรียมตัวมาก เพียงใส่ชุดกางเกงขาสั้น เสื้อยืดธรรมดาๆ ใส่รองเท้ากีฬาสำหรับเดิน เพียงแค่นั้นก็เริ่มกระบวนการออกกำลังกายได้ทันที แต่ก่อนสถานที่เดินของผมอยู่ใกล้บ้านหรือที่พัก ไม่ต้องเดินทางไปไกล ตอนนี้ผมปั่นจักรยานอยู่ภายในบ้านเลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญ การออกกำลังกายของผมแต่ไหนแต่ไรมาเป็นวิธีสมถะ ไม่สิ้นเปลืองคือเกือบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย เสื้อผ้าก็ไม่ต้องมีแบรนด์เนมหรือตามแฟชั่น ลงทุนมากหน่อยก็ตรงที่ต้องซื้อรองเท้าที่มีคุณภาพดีเท่านั้น
เพื่อนบางคนเป็นสมาชิกฟิตเนสเซ็นเตอร์ ต้องไปรับบริการตามจำนวนครั้งที่กำหนด มีเทรนเนอร์หรือครูฝึกคอยช่วยดูแลเวลาออกกำลังกาย...เพื่อนคนหนึ่งแสดงความดีใจจนออกนอกหน้า เมื่อฝนตกในวันเวลาตามตารางการไปใช้บริการที่ศูนย์ เพราะเป็นเหตุผลว่าไม่สะดวกในการเดินทางจึงของด
คราวนี้ เมื่อลูกชายแบ่งเงินเดือนข้าราชการระดับ 6 มาซื้อเครื่องออกกำลังกายราคาเกือบสามหมื่นบาทให้ ก็จะยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมต้องพยายามรักษาสุขภาพเพื่อสามารถใช้เครื่องนี้ให้ยั่งยืนยาวนานที่สุด
การออกกำลังกายนี้ดีแน่ๆ
ทั้งๆ ที่รู้ว่าการออกกำลังกายมีผลดี แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากไม่ทำให้การออกกำลังกายเป็นนิสัย ผมคิดว่าการที่จะทำให้การออกกำลังกายติดเป็นนิสัยได้ก็เช่นเดียวกับการเลิกบุหรี่ คือ เราต้องตั้งใจจริง
ความตั้งใจจริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเชื่อและศรัทธาในผลลัพธ์ของการออกกำลังกาย ผมเชื่อแน่วแน่ว่าการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้ผมมีชีวิตยืนยาวและมีสุขภาพดีขึ้น ผมวาดภาพกลไกการทำงานของการออกกำลังกายว่าจะช่วยผลักดันให้โลหิตไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้สะดวก ถ้าปฏิบัติไปพร้อมกับการกินอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ก็จะไม่มีไขมันไปอุดกั้นตามหลอดเลือด โลหิตที่จะไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ โดยเฉพาะสมองก็เดินทางโดยราบรื่น ผมเป็นห่วงเรื่องสมองเป็นพิเศษ ถ้าเส้นโลหิตไปเลี้ยงสมองเกิดแตกขึ้นมา ไม่ตายก็เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตไป ผมไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันมากน้อยอย่างไรกับการเป็นโรคสมองเสื่อม ถ้าเราออกกำลังกายเป็นประจำ และกินอาหารที่มีประโยชน์ โลหิตไปเลี้ยงสมองสม่ำเสมอ ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมเช่นอัลไซเมอร์ ก็น่าจะลดลง
ผมเชื่อของผมเช่นนี้ ผมกำลังปั่นจักรยาน และเดินหนีตาย หนีโรคภัยไข้เจ็บ และหนีโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์
ชีวิตที่เปลี่ยนไปตามสังขารและสังคม
พฤติกรรมของผมได้เปลี่ยนไปมากเมื่ออายุมากขึ้น
ผมนึกถึงภาพของตัวเองเมื่อยังเป็นหนุ่ม จะเรียกว่าเป็นหนุ่มคะนองก็คงได้ เคยตั้งวงกินเหล้ากับผองเพื่อน อยู่กัน
ตั้งแต่หัวค่ำไปจนตลอดคืน กลับบ้านเอาเมื่อตอนฟ้าสางเมื่อพระออกบิณฑบาตรก็เคยมาแล้ว จนเพื่อนพ้องที่ร่วมวงด้วยกันเรียกกลุ่มตัวเองว่า “กลุ่มฟ้าสาง” ตอนนั้น เมาแล้วก็ยังขับรถกันหน้าตาเฉย ถ้าเป็นสมัยนี้ คงถูกตำรวจเรียกให้เป่าวัดระดับแอลกอฮอล์แล้วให้นั่งสงบสติอารมณ์ หรือถูกลงโทษให้ทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เป็นแน่แท้
บุหรี่น่ะหรือครับ... เริ่มสูบตั้งแต่อายุ 18 ปีเมื่อรู้ว่าเข้ามหาวิทยาลัยได้ สูบต่อเนื่องมาเป็นเวลา 23 ปี ผมสูบบุหรี่จัดมากถึงวันละ 2 ซอง ผมเคยติดบุหรี่ขนาดหนัก เรียกว่าจะมีอาการ “ลงแดง” ถ้าไม่ได้สูบ
ณ บัดนี้ ผมเลิกทั้งเหล้าและบุหรี่ ผมกลายเป็น “ผู้แพ้” ทั้งแอลกอฮอล์จากเหล้าเบียร์ และนิโคตินจากบุหรี่ เมื่อได้รับสารทั้งสองชนิดนี้จะเกิดอาการวิงเวียน คลื่นไส้ คล้ายจะเป็นลม ดูหรือร่างกายของคนเราจะกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้
ผมมาคิดได้ว่า คนเราเมื่ออายุสูงขึ้นก็ต้อง “เจียมสังขาร” อย่างผม จะให้ปีนป่ายกระโดดโลดเต้นเหมือนเมื่อตอนยังหนุ่มคงเป็นไปไม่ได้ ผมเคยคล่องแคล่วว่องไว ปีนต้นไม้ ปีนข้ามรั้วข้ามกำแพงได้คล่อง เมื่อเรียนอยู่มหาวิทยาลัย น้ำหนักตัวผมแค่ 55 กิโล เดี๋ยวนี้ น้ำหนัก 75 กิโล จะให้เฮโลตามคนหนุ่มสาวคงไม่ได้ เมื่อหลายปีก่อน ขนาดอายุยังไม่มาก ผมอาจหาญเข้าร่วมทีมชักคะเย่อกับหนุ่มๆ สาวๆ หัวใจทำท่าจะวายเอาเสียตั้งแต่ตอนนั้น
ตอนนี้ ถ้าใครเห็นผมสงบ สุขุม เรียบร้อย โปรดทราบว่านั่นเป็นเพราะสังขารของผมไม่อำนวยให้มีพฤติกรรมโลดโผนโจนทะยานเหมือนเมื่อยังเป็นหนุ่ม สังขารกำหนดให้ผมเรียบร้อยขึ้น
ผมดีใจที่ผมอดเหล้าเลิกบุหรี่เสียได้ ถ้าผมยังดื่มหนักเหมือนเมื่อก่อน กินเหล้าจนดึกดื่น รุ่งขึ้นไปทำงานด้วยอาการโสลเสล (อ่านว่า สะ โหล สะ เหล) สลึมสลือ (อ่านว่า สะ ลึม สะ ลือ) ในฐานะอาจารย์อาวุโส ทั้งนักศึกษาและเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องๆ จะมองเราอย่างไร
สังคมไทยกำหนดบทบาทผู้สูงอายุไว้อย่างชัดเจน สังคมยกย่องให้ผู้มีอายุมากเป็นผู้อาวุโสด้วยวัยวุฒิ และให้ความเคารพนับถือ ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงต้องประพฤติตนให้ดีสมกับที่ได้รับเกียรติจากสังคม ไม่ให้คนเขาติฉินนินทาเรียกสมญาว่าเป็น “ตาแก่ขี้เมา” “ไอ้เฒ่าหัวงู” “ไอ้เฒ่าลามก” “เฒ่าตัณหากลับ” “ยายแก่ปากปลาร้า” “อีแก่แร้งทึ้ง” ฯลฯ
เมื่อมีอายุสูงขึ้นจนกลายเป็นผู้สูงอายุ เราก็ต้องทำตัวตามความคาดหวังของสังคม และตามสภาพของร่างกาย ผมถึงได้บอกว่า “สังขาร” กับ “สังคม” เป็นตัวกำหนดบทบาทและพฤติกรรมของผู้สูงอายุ ไงล่ะครับ